วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
พริกยัดไส้ (Kochu-jang)
ส่วนผสม
พริกชี้ฟ้าสีเขียว | 8 เม็ด |
เนื้อวัวไม่ติดมันสับ (เนื้อวัวส่วนสะโพก) | 120 กรัม |
ซีอิ๊วเกาหลีหรือญี่ปุ่น | 2 ช้อนชา |
กระเทียมสับ | 2 ช้อนชา |
ต้นหอมซอย | 1 ต้น |
งาเกลือ | 1 ช้อนชา |
พริกไทยดำบดใหม่ๆ | 1 ช้อนชา |
น้ำมันงา | 2 ช้อนชา |
น้ำมันพืช | 1/4 ถ้วย |
แป้งสาลีอเนกประสงค์ | 1/4 ถ้วย |
ไข่ไก่ตีพอแตก | 1 ฟอง |
1. ล้างพริกชี้ฟ้าให้สะอาด ผ่าครึ่งตามยาว เอาไส้และเมล็ดออก ใส่จานพักไว้
2. ทำไส้โดยใส่เนื้อวัวสับลงในถ้วย ใส่ซีอิ๊วเกาหลีหรือญี่ปุ่น กระเทียม ต้นหอม งาเกลือ พริกไทย และน้ำมันงา คลุกเคล้าให้เข้ากันทั่ว เตรียมไว้
3. ยัดไส้ที่ทำใส่พริกชี้ฟ้าที่เตรียมไว้จนเต็มและพูนเล็กน้อย ทำจนหมด เรียงใส่จาน เตรียมไว้
4. ตั้งกระทะก้นตื้นบนไฟกลาง ใส่น้ำมันพอร้อน คลุกพริกยัดไส้กับแป้งสาลีให้ทั่วแล้วชุบไข่ให้ทั่ว จากนั้นใส่ลงทอดในกระทะจนสุกเหลืองทั่ว ตักขึ้นวางบนกระดาษซับน้ำมัน ทอดจนหมด ปิดไฟ
5. จัดใส่จานหรือถ้วย เสิร์ฟ
วิธีทำ งาเกลือ (Sesame Salt)
ผสมงาขาวคั่ว บุบพอแตก 1/4 ถ้วย กับเกลือป่น 1/4 ช้อนชา งาเก็บในตู้เย็นช่องแช่เย็นธรรมดาเพื่อคงความสดใหม่และกลิ่นหอม
เคล็ดลับเล็กๆน้อยๆ
ใช้ พริกชี้ฟ้าสีเขียวแทนพริกสีเขียวเกาหลี วิธีการยัดไส้ทำได้โดยผ่าครึ่งตามยาวหรือตัดตรงขั้ว แล้วเอาไส้ออกและเมล็ดพริกออกจนหมด เนื้อพริกมีรสไม่เผ็ดมาก
ที่มา http://www.horapa.com
หอยนางรมชุบแป้งทอด
เครื่องปรุง
หอยนางรมเฉพาะเนื้อ | 300 กรัม |
ไข่เป็ด | 1 ฟอง |
แป้งสาลี | 4 ช้อนโต๊ะ |
เกล็ดขนมปังป่น | |
เกลือ,พริกไทย | เล็กน้อย |
ไวน์ขาว | 1 ช้อนโต๊ะ |
ผักสลัด | |
ซอสครีม |
เครื่องปรุงซอสครีม
ครีมสด | 100 กรัม |
เนย | 1 ช้อนโต๊ะ |
น้ำมะนาว | 1 ช้อนโต๊ะ |
เกลือ,พริกไทย | เล็กน้อย |
ไวน์ขาว | 1 ช้อนโต๊ะ |
ผักชีฝรั่งสับ (พาสเลย์) |
วิธีทำ
1. นำหอยนางรมใส่ในตะแกรง ล้างให้สะอาดด้วยน้ำเกลือ แล้วตามด้วยน้ำเปล่า ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำจากนั้นแช่ไวน์เพื่อลบกลิ่นคาว
2. ซับน้ำออกจากตัวหอยเบาๆ เหยาะเกลือ พริกไทย
3. คลุกหอยที่ซับแห้งแล้วลงในแป้งสาลี และชุบไข่ จากนั้นนำไปคลุกเกล็ดขนมปัง
4. ใช้กระทะก้นเล็ก ใส่น้ำมันสำหรับทอด ตั้งไฟที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส
5. นำส่วนผสมในข้อ 3 ลงทอด พอสุกเหลืองตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน
6. จัดเสิร์ฟใส่จาน โดยทานกับผักสลัด
วิธีทำซอสครีม
1. ตั้งกระทะใช้ไฟปานกลาง ใส่เนยลงไป พอเนยละลายเทครีมสดลงไป
2. พอเดือด ให้เติมไวน์ขาว น้ำมะนาว ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย รอจนเดือดอีกครั้ง
3. ปิดไฟ ยกลง จากนั้นโรยผักชีฝรั่งสับลงไปแล้วคนให้เข้ากัน
ที่มา http://www.horapa.com
เบคอนห่อเห็ด
ส่วนผสม
เบคอนหั่นยาว | 6 ชิ้น |
เห็ดเข็มทอง | 250 กรัม |
น้ำเปล่า | 1 ช้อนโต๊ะ |
น้ำผึ้ง | 1 ช้อนชา |
น้ำมันพืช | 1 ช้อนโต๊ะ |
วิธีทำ
1. แยกเห็ดออกเป็นกลุ่มเล็กๆ ความหนาเท่ากับนิ้วหัวแม่มือ
2. ม้วนเบคอนพันรอบเห็ดโดยปล่อยให้ดอกเห็ดโผล่พ้นออกมาแล้วเสียบด้วยไม้จิ้มฟัน
3. ผสมน้ำมัน น้ำเปล่า และน้ำผึ้งเข้าด้วยกัน ทาเคลือบบางๆบนเห็ดและเบคอนก่อนนำไปปิ้งด้วยไฟกลางประมาณ 5 นาที พลิกกลับไปมา จนกระทั่งเบคอนเป็นสีน้ำตาลและกรอบ เสิร์ฟร้อนๆ
Tips
- สามารถเปลี่ยนไปใช้เห็ดชนิดอื่น เช่น เห็ดนางรม
- การทาเบคอนด้วยมัสตาร์ดก่อนห่อด้วยเห็ดอีกครั้งเพื่อช่วยให้รสจัดมากขึ้น
ที่มา http://www.horapa.com
เบคอนห่อเห็ด
ส่วนผสม
เบคอนหั่นยาว | 6 ชิ้น |
เห็ดเข็มทอง | 250 กรัม |
น้ำเปล่า | 1 ช้อนโต๊ะ |
น้ำผึ้ง | 1 ช้อนชา |
น้ำมันพืช | 1 ช้อนโต๊ะ |
วิธีทำ
1. แยกเห็ดออกเป็นกลุ่มเล็กๆ ความหนาเท่ากับนิ้วหัวแม่มือ
2. ม้วนเบคอนพันรอบเห็ดโดยปล่อยให้ดอกเห็ดโผล่พ้นออกมาแล้วเสียบด้วยไม้จิ้มฟัน
3. ผสมน้ำมัน น้ำเปล่า และน้ำผึ้งเข้าด้วยกัน ทาเคลือบบางๆบนเห็ดและเบคอนก่อนนำไปปิ้งด้วยไฟกลางประมาณ 5 นาที พลิกกลับไปมา จนกระทั่งเบคอนเป็นสีน้ำตาลและกรอบ เสิร์ฟร้อนๆ
Tips
- สามารถเปลี่ยนไปใช้เห็ดชนิดอื่น เช่น เห็ดนางรม
- การทาเบคอนด้วยมัสตาร์ดก่อนห่อด้วยเห็ดอีกครั้งเพื่อช่วยให้รสจัดมากขึ้น
ที่มา http://www.horapa.com
Blue Kamigaze
Triple Sec 1/2 ออนซ์
Blue curciao 1/2 ออนซ์
วิธีทำ
1.นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ในเชคเกอร์
2.ใส่นำแข็งนิดหน่อย
3.เขย่าให้เข้ากันซัก 15 วินาที
4.เทใส่แก้ว พร้อมประดับด้วยเชอรี่สีสวย
ที่มา http://www.horapa.com
น้ำมะม่วงปั่น
|
น้ำแดงแก้วมังกร
|
อุปกรณ์สำหรับทำไอศกรีม
เครื่อง มือเฉพาะสำหรับการทำไอศกรีม คือ เครื่องปั่นไอศกรีม หรือเครื่องทำไอศกรีม (Ice Cream Maker) ซึ่งมีหลายแบบ เครื่องที่มีขายอยู่ในไทย เช่นเครื่องปั่นไอศกรีมแบบใช้น้ำแข็งชนิดมอเตอร์อยู่ด้านบน เครื่องปั่นไอศกรีมชนิดไม่ใช้น้ำแข็ง แต่ใช้หลักการนำถังไอศกรีมไปแช่แข็งให้เย็นจัดแล้วจึงนำมาปั่นไอศกรีม โดยไม่ต้องใช้น้ำแข็งกับเกลือใส่รอบโถปั่น ไม่ค่อยนิยมแพร่หลาย เพราะต้องแช่โถในตู้แช่แข็งนานหลายชั่วโมงก่อนจึงจะนำมาปั่นไอศกรีมได้
การ ทำงานของเครื่องปั่นไอศกรีม คือการปั่นให้อากาศแทรกเข้าไปในส่วนผสมของไอศกรีม และทำให้เกิดเกล็ดน้ำแข็งเล็กๆ เพราะฉะนั้นจะสังเกตว่าเนื้อไอศกรีมที่ได้จะดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการควบ คุมความเย็น หรือการใส่น้ำแข็งและปริมาณเกลือนั่นเอง ถ้าใช้น้ำแข็งและเกลือน้อย ความเย็นไม่พอ เนื้อไอศกรีมก็จะเหลวเกินไป ต้องใช้เวลาปั่นนาน แต่ในทางตรงกันข้ามหากใส่น้ำแข็งและเกลือมากเกินไป ก็จะทำให้เนื้อไอศกรีมหยาบ ไม่เนียนนุ่ม (ผลึกน้ำแข็งในเนื้อไอศกรีมใหญ่เกินไป)
การ ปั่นไอศกรีมจึงเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ที่มือใหม่หัดปั่นไอศกรีมอาจจะต้องฝึกทำหลายๆครั้ง เพื่อให้เกิดความชำนาญจนกว่าจะได้เนื้อไอศกรีมอร่อยอย่างใจ
ที่มาhttp://www.horapa.com
รอยัลไอซิ่ง
ส่วนผสม
น้ำตาลไอซิ่ง 500 กรัม
ไข่ขาว 3 ฟอง
ครีมออฟทาร์ทาร์ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. ร่อนไอซิ่ง พักไว้
2. ตีไข่ขาวกับครีทออฟทาร์ทาร์ พอขึ้น ไส่ไอซิ่งจนหมด
3. ถ้าแห้งไปก็เติมไข่ขาว ถ้าเหลวไปก็เติมไอซิ่ง
4. แบ่งผสมสี บีบเป็นดอกไม้หรือการ์ตูน รูปสัตว์ต่างๆ โดยบีบลงบนกระดาษลอกลายหรือกระดาษไข พักให้แห้งและแข็ง โดยพักในที่แห้งและไม่โดนแสงมาก เช่น นำไปตากแดดเพราะจะทำให้สีซีด
5. แห้งแล้วแกะออกจากกระดาษ เก็บในภาชนะปิดสนิท อย่าให้มีความชื้น
6. นำไปแต่งเค้กได้ตามความต้องการ
ที่มา http://www.horapa.com
ยำไข่ดาว
เครื่องปรุง
ไข่ดาวทอดกรอบ | 5 ฟอง |
หอมใหญ่ซอย | 1/2 ถ้วยตวง |
พริกขี้หนู | 10 เม็ด |
มะนาว | 2 ช้อนโต๊ะ |
น้ำปลา | 2 ช้อนโต๊ะ |
น้ำตาลทราย | 2 ช้อนโต๊ะ |
แครอทหั่นฝอย | 1/2 ถ้วยตวง |
ใบขึ้นฉ่ายหั่นท่อน | 2 ต้น |
วิธีทำ
1. ไข่ดาวทอดกรอบหั่นเป็นชิ้นพอคำ
2. เตรียมน้ำยำ พริกขี้หนูบุบพอแตก ผสมน้ำปลา น้ำตาลทราย มะนาว
3. นำของทุกอย่างผสมรวม คลุกเคล้าให้เข้ากัน ชิมรสชาติ เพิ่มเติมได้ตามชอบ
4. เวลาจัดเสิร์ฟ รองด้วยผักกาดหอม หรือรับประทานกับข้าวสวยก็ได้
ที่มาhttp://www.horapa.com
มะกะโรนีกุ้ง
มะกะโรนีกุ้ง | ||||||||||||||||||
เมนู อาหารกลางวัน สำหรับช่วงอากาศเปลี่ยน ช่วยต้านหวัด สามารถเพิ่มผักลงไปได้ตามใจชอบ สำหรับที่ทำในรายการไทยมุง จะเติมผักโขมลงไป หรือจะเติมบร็อคโคลีลวกก็ได้ค่ะ ส่วนผสม
วิธีทำ 1. ตั้งกระทะใส่เนยจืด พอร้อนใส่แครอท มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ ผัดให้หอม แล้วใส่ไข่ ผัดไข่ให้สุก 2. ใส่มะกะโรนีทีลวกแล้ว ผัดให้เข้ากัน แล้วใส่กุ้งที่ลวกไว้ ผัดให้เข้ากันอีกที 3. ใส่กะหล่ำปลี แล้วผัดให้พอสุก เติมเครื่องปรุง ชิมรสตามชอบ 4. ก่อนปิดเตาให้ใส่ขึ้นฉ่ายและมะเขือเทศเชอร์รี่ ผัดเพียงเล็กน้อย ตักเสิร์ฟ ที่มา http://www.horapa.com | ||||||||||||||||||
สับปะรดกวนหยี
สับปะรดกวนหยี |
เครื่องปรุง สับปะรดสับฝอยละเอียด 2 ถ้วยตวง น้ำเย็น 1/4 ถ้วยตวง น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วยตวง เกลือป่น 1/2 ช้อนชา ส่วนสำหรับคลุก น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง เกลือป่น 1 ช้อนชา พริกขี้หนูแดง 4-5 เม็ด วิธีทำ 1. ใส่สับปะรดและน้ำลงในหม้อเคลือบ ตั้งไฟประมาณ 10 นาที ใช้ไฟกลาง 2. ใส่น้ำตาล เกลือ คนตลอดเวลา พอน้ำงวดลดไฟลง ใช้ไฟอ่อนกวนจนส่วนผสมข้นเข้ากันดีเป็นเส้น 3. แกนสับปะรดเกลาเป็นแท่งกลมเล็ก นำไปเชื่อมให้สุก ตักขึ้นหั่นเป็นอันเล็กๆ สำหรับทำเป็นก้านสับปะรด 4. นำสับปะรดที่กวนได้ที่แล้วมาปั้นลงบนแกนที่เตรียมไว้ ทำเป็นลูกเล็กๆ ให้สวยงาม 5. โขลกพริกขี้หนูกับเกลือให้ละเอียด ใส่น้ำตาลลงโขลกพอเข้ากัน นำสับปะรดที่ปั้นไว้มาคลุกกับส่วนผสมที่โขลกไว้ จะได้สับปะรดกวนที่มีรสชาติอร่อย และรูปร่างน่ารับประทาน ที่มา http://www.horapa.com |
ขนมดอกลำดวน
ส่วนประกอบ
- แป้งสาลีร่อนแล้วตวง 1 ถ้วย
- น้ำตาลป่นหรือน้ำตาลไอซิ่ง 1/ 2 ถ้วย
- น้ำมันหมูเจียวใหม่ ๆ 1/ 4 ถ้วย (ใช้น้ำมันพืชแทนได้)
วิธีทำ
1. ผสมแป้งสาลี น้ำตาล เข้าด้วยกัน ค่อย ๆ ใส่น้ำมันลงไปทีละน้อย ๆ ผสมให้เข้ากันดี จากนั้นปั้นแป้งให้เป็นก้อนกลม ๆ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3/ 4 นิ้ว แล้วผ่าเป็น 4 ส่วน ทำจนหมด
2. นำแป้ง 3 ชิ้นวางให้ปลายชนกัน วางใสถาดอบที่ไม่ทาไขมัน ที่เหลืออีก 1 ชิ้น ให้ปั้นเป็นก้อนกลมเล็ก ๆ วางตรงกลางดอกเป็นเกสร ใช้ปลายมีดทำเป็นแฉกเล็ก ๆ
3. นำเข้าอบไฟ 350 องศาฟาเรนไฮต์ จนสุกเป็นสีขาวนวล นำออกจากเตาอบ ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วแซะออกจากถาดวางบนตะแกรง ปล่อยให้เย็นสนิท แล้วนำไปอบด้วยควันเทียนให้หอม เก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิดสนิท
เทคนิค ในการทำขนมดอกลำดวนหรือขนมกลีบลำดวนนั้น เริ่มกันตั้งแต่การผสมแป้งเลย ถ้าอยากจะให้ขนมมีความหอมอร่อย ควรจะใช้น้ำมันหมูเจียวใหม่ ๆ มากกว่าใช้น้ำมันพืช และเวลาผสมแป้งสาลี น้ำตาล และน้ำมันนั้น ควรผสมพอแต่ให้แป้งจับตัวเป็นก้อน ไม่ต้องนวด เพราะถ้านวดแป้งแล้วขนมจะแข็ง ไม่กรอบร่วน เมื่อผสมแป้งเสร็จแล้ว เวลาปั้นแป้งให้เป็นก้อนกลม ก็ต้องปั้นให้แน่น ถ้าปั้นไม่แน่นเวลาผ่าแล้วจะไม่สวย นอกจากนี้เมื่ออบขนมเสร็จแล้ว จะแซะขนมออกจากถาด ควรจะทำเมื่อขนมเย็นแล้ว เพราะถ้าแซะขนมในขณะที่ขนมยังร้อน ๆ อยู่ กลีบขนมจะแตกออกจากกัน ขนมดอกลำดวนที่ได้ ควรจะมีสีออกขาวนวล ๆ ไม่ใช่สีเหลือง หรือสีน้ำตาล
ที่มาhttp://www.horapa.com/content.php?Category=Dessert&No=967
โรคบิด
โรคบิด ที่สำคัญมีอยู่ 2 ชนิด คือ อมีบิค หรือ บิดมีตัว เกิดจากเชื้ออมีบา และเชื้อแบซิลลารีหรือ บิดไม่มีตัว เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
อาการ
อาการโดยทั่วไปของบิด ได้แก่ อุจารระร่วง ต่อมาจะมีอาการบิด คือปวดท้อง ปวดถ่วง ถ่ายอุจจาระมีมูกเลือด และอาจมีอาการช็อกร่วมด้วย
การป้องกัน
1. ล้างมือให้สะอาด ก่อนจับต้องหรือรับประทานอาหาร
2. ดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำต้ม น้ำประปา น้ำผสมผงปูนคลอรีน
3. รับประทานอาหารที่สะอาด สุกใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม ควรงดเว้นอาหารที่ปรุงสุกๆดิบๆและอาหารของหมักดอง
4. ล้างผักสด ผลไม้ให้สะอาด และแช่ในน้ำที่ผสมผงปูนคลอรีน อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงก่อนรับประทาน
5. ล้างภาชนะถ้วยชามด้วยน้ำสะอาด หรือลวกภาชนะด้วยน้ำเดือดก่อนใช้
6. ถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
7. พยายามกำจัดแมลงวันและแหล่งเพาะพันธุ์
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no46-48/wer10.htmโรคบิด
โรคบิด ที่สำคัญมีอยู่ 2 ชนิด คือ อมีบิค หรือ บิดมีตัว เกิดจากเชื้ออมีบา และเชื้อแบซิลลารีหรือ บิดไม่มีตัว เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
อาการ
อาการโดยทั่วไปของบิด ได้แก่ อุจารระร่วง ต่อมาจะมีอาการบิด คือปวดท้อง ปวดถ่วง ถ่ายอุจจาระมีมูกเลือด และอาจมีอาการช็อกร่วมด้วย
การป้องกัน
1. ล้างมือให้สะอาด ก่อนจับต้องหรือรับประทานอาหาร
2. ดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำต้ม น้ำประปา น้ำผสมผงปูนคลอรีน
3. รับประทานอาหารที่สะอาด สุกใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม ควรงดเว้นอาหารที่ปรุงสุกๆดิบๆและอาหารของหมักดอง
4. ล้างผักสด ผลไม้ให้สะอาด และแช่ในน้ำที่ผสมผงปูนคลอรีน อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงก่อนรับประทาน
5. ล้างภาชนะถ้วยชามด้วยน้ำสะอาด หรือลวกภาชนะด้วยน้ำเดือดก่อนใช้
6. ถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
7. พยายามกำจัดแมลงวันและแหล่งเพาะพันธุ์
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no46-48/wer10.htmโรคบาดทะยัก
โรคบาดทะยัก
สาเหตุ
โรคนี้สำคัญแม้จะไม่พบบ่อยก็ตาม เพราะอาการจะรุนแรงและรวดเร็วมาก โดยเชื้อจะเข้าทางผิวหนังที่สกปรก สำหรับทารกแรกเกิดเชื้อเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลจากการตัดสายสะดือ เชื้อโรคมักอยู่ตามดินหรือของสกปรกประเภทอุจจาระม้า วัว หรือ อุจจาระสัตว์เลี้ยง ตามตะปูที่เป็นสนิม แผลตะปูตำ แผลลึกทำให้ออกซิเจนเข้ายาก เชื้อจะเจริญดีและเข้าทางสายสะดือของเด็กแรกเกิดได้ โดยเฉพาะถ้ามีการทำคลอดที่ไม่สะอาด
อาการ
ลักษณะเฉพาะเริ่มจากเกร็งที่ขากรรไกรทำให้ขากรรไกรแข็ง เกร็งที่หน้า ทำให้มีลักษณะแสยะปาก จากนั้นจะชักเกร็งที่คอ หลัง ท้องและขา โดยเด็กจะรู้สึกตัวดี ตลอดเวลา และระหว่างที่หยุดชัก กล้ามเนื้อจะเกร็งตลอดทำให้ดูไม่ออกว่าชักจากสาเหตุอื่นหรือเปล่า นอกจากนี้อาจมีภาวะอื่นแทรกด้วย คือ เลือดคลั่ง เลือดออกในระบบประสาท กล้ามเนื้อ ระยะฟักตัวก็มีตั้งแต่ 1 วัน ถึงหลายเดือน แต่เฉลี่ยแล้ว 3-21 วัน
เมื่อใดควรไปพบแพทย์
หากเด็กเกิดอาการชักต้องรีบพาไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน เพราะอาการชักของโรคบาดทะยักมีลักษณะคล้ายกับโรคอื่น กว่าจะหาสาเหตุของการชักได้ อาการอาจรุนแรงทำให้เกิดภาวะ การหายใจล้มเหลว ขาดออกซิเจนส่งผลให้เด็กตายได้
การป้องกัน
ปัจจุบัน โรคบาดทะยักนี้เราป้องกันตั้งแต่เด็กแรกเกิดเลย โดยให้วัคซีนป้องกันแก่หญิงมีครรภ์โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ รวมสองครั้ง ห่างกันอย่างน้อยครั้งละหนึ่งเดือน โดยเริ่มฉีดครั้งแรกในโอกาสแรกที่พบจะเป็นเดือนไหนก็ได้ แต่ครั้งที่สองฉีดให้ก่อนครบกำหนดคลอดหนึ่งเดือน เมื่อฉีดครบชุด ดังกล่าวแล้วจะป้องกันได้ถึง 10 ปี จึงจะฉีดกระตุ้นอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับเด็กจะเริ่มฉีดหลังอายุ 2-3 เดือน โดยฉีดให้อย่างน้อย 3 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 2 เดือน รวมไปกับวัคซีนคอตีบและไอกรน และกระตุ้นอีกหนึ่งครั้ง หลังฉีดครบชุดแล้ว 1-1 ปีครึ่ง
โรคคางทูม
โรคคางทูม
สาเหตุ
โรคคางทูม เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำลาย พาโรติด ที่บริเวณหน้าใบหู 2 ข้างของคาง
อาการ
บริเวณดังกล่าวโตบวมจนเห็นไดชัด ถ้าเป็นในเด็กโตจะมีอาการปวดหูและเจ็บลำคอในวันแรกด้วย ไข้จะต่ำในวันที่สอง พอวันที่สามไข้กลับสูง วันก่อนจะเป็นคางทูม เด็กจะรู้สึกไม่สบาย ส่วนมากจะบวมข้างเดียวก่อน ต่อมาอีกข้างถึงจะบวมตามแต่บางคนก็บวมข้างเดียวถ้าบวมน้อยๆจะหายในเวลา 3-4วัน แต่ถ้าเป็นมากกว่านี้จะยุบภายใน 10 วัน
ในเด็กหนุ่มหรือผู้ใหญ่ผู้ชาย เชื้อไวรัสของโรคนี้อาจจะไปอยู่บริเวณลูกอัณฑะได้ ทำให้เกิดอาการอักเสบและเจ็บมาก แถมกลายเป็นหมันด้วย
การป้องกัน
ฉีดวัคซีนให้ตั้งแต่ตัวเล็กๆเลย โดยสามารถฉีดพร้อมกับวัคซีนโรคหัด ถ้าในบ้านมีเด็กที่เป็นคางทูม ผู้ชายในบ้านไม่ควรมาคลุกคลีกับเด็ก เพราะถ้าไม่เคยเป็นมาก่อนและติดโรค เกิดอาการอัเสบที่ลูกอัณฑะแล้วกลายเป็นหมันได้ เพราะโรคคางทูมในผู้ใหญ่รุนแรงมาก บางรายถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลกลายเป็นสมองอักเสบไป
ที่มา http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no46-48/wer8.htm
โรคคอตีบ
โรคคอตีบ
อาการ
จะ ไม่สบายตัว เจ็บคอ และมีไข้ ถ้าอ้าปากกว้างๆ หรือร้องอาๆจะเห็นมีฝีสีขาวปนเทาอยู่ที่ต่อมทอนซิลซึ่งอาจจะกระจายลงมาใน หลอดลมหรือกระจายขึ้นไปที่จมูกก็ได้ เวลาไอเสียงไอจะห้าวๆ ก้องๆ เริ่มหายใจลำบากหายใจหอบคล้ายวิ่งมาเหนื่อยๆ
เมื่อใดควรไปพบแพทย์
ควรพาเด็กไปหาแพทย์ทันทีเมื่อบ่นเจ็บคอ มีไข้ ไอก้องๆ และหายใจหอบหากตรวจพบว่าเป็นโรคนี้ต้องรับเข้าพยาบาลเพราะเชื้อคอตีบมีท็อกซินที่เป็นอันตรายต่อหัวใจ โดยหมอจะฉีดซีรั่มต้านท็อกซินให้ ถ้ามีพี่น้องก็ต้องถูกตรวจทุกคน
การักษา
นอกจากการรักษาทางยาแล้ว หากโรคลุกลามอาจต้องเจาะคอใส่ท่อหายใจให้เพราะเด็กอาจไม่สามารถหายใจเองได้ เนื่องจากเยื่อต่างๆในลำคอบวมจนปิดกั้นทางเดินลมหายใจหมด
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no46-48/wer7.htmโรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออก
สาเหตุ
ไข้ เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัส เดงกี่ โดยมียุงลายเป็นตัวนำ ยุงลายมีขนาดเล็ก สีดำ มีลายขาวที่ขา ท้องและลำตัว ชอบอยู่ตามมุมมืดของบ้านจะออกมากัดกินเลือดคนในเวลากลางวัน ชอบวางไข่ในน้ำสะอาด ไข่ยุงลายอยู่ในที่แห้งได้นานหลายเดือน เมื่อไข่แช่น้ำจะออกเป็นลูกน้ำ ใช้เวลา 7-10 วัน ก็จะเป็นตัวยุง เมื่อยุงลายกัดและดูดเลือดที่มีเชื้อโรคนี้ให้กับผู้ที่ถูกกัดเป็นได้ทั้ง เด็กและผู้ใหญ่ แต่พบมากในเด็กอายุ 5-9 ปี
อาการ
ผู้ป่วยมีอาการคล้ายไข้หวัด ไข้จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วติดต่อกันเป็นเวลา 2-3 วัน ต่อมาไข้จะลดลงผู้ป่วยมีอาการเบื่ออาหาร อาเจียน หน้าแดง สำหรับรายที่เป็นมากจะมีอาการซึม กระสับกระส่าย อ่อนเพลีย มือเท้าเย็น แน่นหน้าอก ปวดท้อง ส่วนมากจะมีเลือดออก ใต้ผิวหนัง ซึ่งมองเห็นเป็นจุดเล็กๆ ขนาดเท่ายุงกัดหรือจ้ำสีแดงตามแขนขา และตามตัวทั่วไป บางรายอาจมีเลือดกำเดาไหล อาเจียนหรือถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ป่วยหมดสติ และถึงตายได้
เมื่อใดควรพบแพทย์
ถ้าเด็กมีอาการสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก อย่าให้ยาลดไข้ที่มีแอสไพรินผสมอยู่ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัวเด็ก ให้นำเด็กที่ป่วยไปปรึกษาแพทย์ หรือส่งโรงพยาบาล ไม่ควรรักษาเองโดยเด็ดขาด อาจจะทำให้เด็กเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no46-48/wer6.htmโรควัณโรค (ทีบี)
โรควัณโรค (ทีบี)
สาเหตุ
เกิดจากการที่ร่างกายได้รับเชื้อแบคทีเรียติดมากับละอองเสมหะและละอองน้ำลายที่กระจายในอากาศ
อาการ
สมัยก่อนคนเรียกโรคนี้ว่า ฝีในท้อง ถ้าใครเป็นละก็ตายทุกราย ไม่มียาแก้แถมคนที่ป่วยยังถูกรังเกียจด้วย แต่ปัจจุบันโรคนี้สามารถรักษาได้
วัณโรคในเด็กและผู้ใหญ่ต่างกันมาก ในผู้ใหญ่มักจะมีจุดที่ปอด มีไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ไอแห้งๆและผอมแห้งแรงน้อย
ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีจะมีความต้านทานต่ำเมื่อได้รับเชื้อ จะไม่สามารถสกัดกันเชื้อได้ และเชื้อจะกระจายไปตามร่างกายและอาจรุนแรงมากเมื่อเชื้อไปถึงสมอง
การป้องกัน
โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน “บีซีจี” เมื่อแรกคลอด ส่วนมากฉีดบริเวณหัวไหล่ข้างซ้ายของเด็ก ตุ่มนี้ต่อมาจะเป็นหนองและยุบไปในที่สุด พออายุ 4-7 ปีจึงจะฉีดซ้ำอีกครั้ง
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no46-48/wer2.htmโรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
โรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส เกิดได้ทุกเพศทุกวัย ระบาดได้ตลอดปีมักเกิดในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง เช่น ฤดูฝนต่อกับฤดูหนาว
ไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่สามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง โดย :
1. หายใจเอาเชื้อโรคเข้าไป
2. สัมผัสกับน้ำมูกและน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย
3. ใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย
อาการ
ปากแห้ง คอแห้ง แสบคอ คันคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอจาม อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีไข้หรือไม่มีก็ได้ ส่วนไข้หวัดใหญ่จะมีไข้หนาวสั่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะโดยเฉพาะบริเวณหน้าผากและกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมาจะมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ เคืองตา หน้าตาแดง อาการมักจะเป็นอยู่ 2-4 วัน แล้วไข้จะลดลง
ภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัด
1. น้ำตาไหล กลัวแสง หนังตาบวม เยื่อบุตาอักเสบ
2. ปวดหู หูน้ำหนวก
3. หลอดลมอักเสบ กล่องเสียงอักเสบ
4. ปอดบวม
ภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่
1. หูน้ำหนวก
2. หลอดลมอักเสบ
3. ปอดบวม ปอดอักเสบ
4. กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
5. สมองอักเสบ
การรักษา
1. พักผ่อนมากๆ และอยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
2. กินอาหารที่มีประโยชน์และย่อยง่าย ควรดื่มน้ำมากๆ
3. ไม่ควรอาบน้ำ แต่ควรเช็ดตัว
4. ปิดจมูก ปาก เวลาไอหรือจาม และบ้วนน้ำลายลงในภาชนะที่ใส่ยาฆ่าเชื้อโรค
5. ควรพบแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
6. ควรหยุดพักงานหรือการเรียนชั่วคราว จนกว่าจะหายเป็นปกติ เพื่อป้องกันการแพร่ของเชื้อโรค
ข้อแนะนำในการป้องกัน
1. กินอาหารที่เป็นประโยชน์
2. ออกกำลังกายและพักผ่อนนอนหลับและทำอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอ
3. หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัดยัดเยียด
4. รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ
5. อย่าคลุกคลีกับผู้ป่วยโดยเฉพาะอย่าใช้ของร่วมกับผู้ป่วย
ที่มา http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no46-48/wer2.htm
ดอกไม้ในวรรณคดี
มวล ดอกไม้นานาพรรณ อันอยู่ประดับโลก บ้างก็มีสีสันฉูดฉาด บาดตา บ้างก็มีกลิ่นหอมหวนชวนดม แต่ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้เช่นใด ไม่ว่าจะเป็นไม้ดอกหรือไม้ใบ ต่างก็มีเสน่ห์ของตัวเองแตกต่างกันไป สร้างความชุ่มชื่นให้แก่อารมณ์ของผู้พบเห็นอย่างที่เรียกว่า “ อาหารตา – อาหารใจ ” ช่วยคลายความเครียดได้ทางหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นเรื่องแปลกที่จิตกวี หรือนักประพันธ์ทุกยุคทุกสมัยต้องนำเอาพันธ์ไม้ไปเป็ฯส่วนหนึ่งประกอบไว้ใน วรรณกรรมของตนด้วย
จิตกวีของไทยก็เช่นกัน ต่างก็สนใจนำเอาพันธ์ไม้มาเรียบเรียงคำให้เป็นร้อยกรองที่มีความไพเราะเพราะ พริ้ง สอดแทรกเข้าไปในบทประพันธ์ ในบทชมสวนบ้าง เดินทางกลางป่าไพรบ้าง บทเกี้ยวพาราสีบ้าง การอ่านวรรณคดีจึงได้ทั้งรสหนังสือ ความรู้เรื่องพันธุ์ไม้ที่บ้างครั้งเรายังไม่รู้จัก ไม่เคยพบเห็นด้วยซ้ำไป อีกทั้งยังใช้สำหรับค้นคว้าทางด้านวิชาการ
เราจะพบญาณทัศนะของกวีต่อต้นไม้ ที่นำมาใช้ในบทประพันธ์ต่างๆ กัน เช่น
- จะเห็นได้ว่าคนไทยตั้งแต่สมัยโบราณอยู่กับต้นไม้ด้วยความรัก มีความสุข
ตาม อัตภาพ สภาพดั้งเดิมของคนไทยปลูกบ้านยกพื้นปล่อยใต้ถุนโล่ง เนื่องจากป้องกันน้ำท่วม บางแห้งพื้นที่ลุ่มไม่เหมาะต่อการปลูกพรรณไม้ชนิดที่ไม่สามารถทนแรงของน้ำ เมื่อถึงเวลาน้ำท่วมได้ ก็ใช้ชานเรือนทำสวนกระถาง เช่น วรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง ได้พรรณนาต้นไม้ไว้หลายชนิดภายในบริเวณบ้านของขุนช้าง
- ใช้ชื่อไม้แสดงความคร่ำครวญถึงนางอันเป็นที่รัก เป็นแบบแผนคลาสสิค
เช่น กาพย์ห่อโครง “ นิราศธารโศก ” ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ ( เจ้าฟ้ากุ้ง ) ลิลิตตะเลงพ่าย ของสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นต้น
- ใช้ไม้ชนิดนั้นๆ แสดงปรัชญา สุภาษิต และคำพังเพย เช่น
- แสดงประวัติพันธ์ไม้ เช่น “ มณฑามาแต่แขก ”
จากการศึกษาจะเห็นได้ว่าดอกไม้ในวรรณคดีส่วนใหญ่มักเป็นไม้ดอกที่มีสีสัน
สวยงาม และมีชื่อเป็นมงคล จะพบมากในวรรณคดีเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระเลิศหล้านภาลัย ( รัชกาลที่ ๒ ) และวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน พระราชนิพนธืในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ( รัชกาลที่ ๑ ) ส่วนใหญ่มักจะแต่งเป็นคำประพันธ์ประเภทนิราศ อันได้แก่ บทประพันธ์ นิราศธารโศก ของ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ( เจ้าฟ้ากุ้ง ) นิราศพระบาท ของ พระสุนทรโวหาร ( สุนทรภู่ ) เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีบทประพันธ์ประเภท โคลง ฉันท์ กาพย์ ลิลิต อีกด้วย เช่น บทละครนอกเรื่องคาวี พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระเลิศหล้านภาลัย ( รัชกาลที่ ๒ ) บทละครเรื่องเงาะป่า พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จ - พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ( รัชกาลที่ ๕ ) มัทนะพาธา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ( รัชกาลที่ ๖ ) โคลงนิราศนรินทร์ ของ นายนรินทร์ ธิเบศร์ ( อิน ) บทละครเรื่องพระอภัยมณี ของ พระสุนทรโวหาร ( สุนทรภู่ ) ลิลิตพระลอ โคลงโลกนิติ ขุนช้างขุนแผน กาพย์พระไชยสุริยา บุณโณวาทคำฉันท์ กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นต้นที่มา http://www.student.chula.ac.th
ดอกไม้ในวรรณคดี
มวล ดอกไม้นานาพรรณ อันอยู่ประดับโลก บ้างก็มีสีสันฉูดฉาด บาดตา บ้างก็มีกลิ่นหอมหวนชวนดม แต่ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้เช่นใด ไม่ว่าจะเป็นไม้ดอกหรือไม้ใบ ต่างก็มีเสน่ห์ของตัวเองแตกต่างกันไป สร้างความชุ่มชื่นให้แก่อารมณ์ของผู้พบเห็นอย่างที่เรียกว่า “ อาหารตา – อาหารใจ ” ช่วยคลายความเครียดได้ทางหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นเรื่องแปลกที่จิตกวี หรือนักประพันธ์ทุกยุคทุกสมัยต้องนำเอาพันธ์ไม้ไปเป็ฯส่วนหนึ่งประกอบไว้ใน วรรณกรรมของตนด้วย
จิตกวีของไทยก็เช่นกัน ต่างก็สนใจนำเอาพันธ์ไม้มาเรียบเรียงคำให้เป็นร้อยกรองที่มีความไพเราะเพราะ พริ้ง สอดแทรกเข้าไปในบทประพันธ์ ในบทชมสวนบ้าง เดินทางกลางป่าไพรบ้าง บทเกี้ยวพาราสีบ้าง การอ่านวรรณคดีจึงได้ทั้งรสหนังสือ ความรู้เรื่องพันธุ์ไม้ที่บ้างครั้งเรายังไม่รู้จัก ไม่เคยพบเห็นด้วยซ้ำไป อีกทั้งยังใช้สำหรับค้นคว้าทางด้านวิชาการ
เราจะพบญาณทัศนะของกวีต่อต้นไม้ ที่นำมาใช้ในบทประพันธ์ต่างๆ กัน เช่น
- จะเห็นได้ว่าคนไทยตั้งแต่สมัยโบราณอยู่กับต้นไม้ด้วยความรัก มีความสุข
ตาม อัตภาพ สภาพดั้งเดิมของคนไทยปลูกบ้านยกพื้นปล่อยใต้ถุนโล่ง เนื่องจากป้องกันน้ำท่วม บางแห้งพื้นที่ลุ่มไม่เหมาะต่อการปลูกพรรณไม้ชนิดที่ไม่สามารถทนแรงของน้ำ เมื่อถึงเวลาน้ำท่วมได้ ก็ใช้ชานเรือนทำสวนกระถาง เช่น วรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง ได้พรรณนาต้นไม้ไว้หลายชนิดภายในบริเวณบ้านของขุนช้าง
- ใช้ชื่อไม้แสดงความคร่ำครวญถึงนางอันเป็นที่รัก เป็นแบบแผนคลาสสิค
เช่น กาพย์ห่อโครง “ นิราศธารโศก ” ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ ( เจ้าฟ้ากุ้ง ) ลิลิตตะเลงพ่าย ของสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นต้น
- ใช้ไม้ชนิดนั้นๆ แสดงปรัชญา สุภาษิต และคำพังเพย เช่น
- แสดงประวัติพันธ์ไม้ เช่น “ มณฑามาแต่แขก ”
จากการศึกษาจะเห็นได้ว่าดอกไม้ในวรรณคดีส่วนใหญ่มักเป็นไม้ดอกที่มีสีสัน
สวยงาม และมีชื่อเป็นมงคล จะพบมากในวรรณคดีเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระเลิศหล้านภาลัย ( รัชกาลที่ ๒ ) และวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน พระราชนิพนธืในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ( รัชกาลที่ ๑ ) ส่วนใหญ่มักจะแต่งเป็นคำประพันธ์ประเภทนิราศ อันได้แก่ บทประพันธ์ นิราศธารโศก ของ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ( เจ้าฟ้ากุ้ง ) นิราศพระบาท ของ พระสุนทรโวหาร ( สุนทรภู่ ) เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีบทประพันธ์ประเภท โคลง ฉันท์ กาพย์ ลิลิต อีกด้วย เช่น บทละครนอกเรื่องคาวี พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระเลิศหล้านภาลัย ( รัชกาลที่ ๒ ) บทละครเรื่องเงาะป่า พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จ - พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ( รัชกาลที่ ๕ ) มัทนะพาธา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ( รัชกาลที่ ๖ ) โคลงนิราศนรินทร์ ของ นายนรินทร์ ธิเบศร์ ( อิน ) บทละครเรื่องพระอภัยมณี ของ พระสุนทรโวหาร ( สุนทรภู่ ) ลิลิตพระลอ โคลงโลกนิติ ขุนช้างขุนแผน กาพย์พระไชยสุริยา บุณโณวาทคำฉันท์ กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นต้นที่มา http://www.student.chula.ac.th/~47437567/webpage/first.htm